แนะนำประเทศสหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา (อังกฤษ: United States of America) หรือมักย่อว่า สหรัฐฯ หรือ อเมริกา เป็นสหพันธรัฐประชาธิปไตย ปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญ ประกอบไปด้วยรัฐ 50 รัฐ มีพื้นที่ครอบคลุมส่วนใหญ่ของทวีปอเมริกาเหนือ มีพรมแดนติดต่อ กับแคนาดาทางทิศเหนือ และเม็กซิโกทางทิศใต้ ส่วนพรมแดนทางทะเลนั้นติดต่อกับแคนาดา รัสเซียและบาฮามาส โดยมีมหาสมุทรแปซิฟิก ทะเลแบริง มหาสมุทรอาร์กติก มหาสมุทรแอตแลนติก อ่าวเม็กซิโก และทะเลแคริบเบียนเป็นผืนน้ำล้อมรอบ นอกจากนี้ยังมีดินแดนบางส่วนในแคริบเบียน และมหาสมุทรแปซิฟิกอีกด้วย
ภูมิศาสตร์

ขนาดพื้นที่ของสหรัฐอเมริกาแผ่นดินใหญ่คิดเป็นอย่างน้อย 1.9 พันล้านเอเคอร์ แคนาดาอยู่ระหว่างรัฐอะแลสกากับสหรัฐอเมริกาแผ่นดินใหญ่ เป็นรัฐที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คิดเป็นพื้นที่กว่า 365 ล้านเอเคอร์ รัฐฮาวาย ซึ่งประกอบด้วยหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลาง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปอเมริกาเหนือ มีพื้นที่เล็กที่สุด คือ 4 ล้านเอเคอร์ สหรัฐอเมริกามีพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 หรือ 4 ของโลก รองจากรัสเซียและแคนาดา ก่อนหรือเป็นรองจีน – การจัดลำดับดังกล่าวขึ้นอยู่กับว่าดินแดนพิพาทระหว่างจีนและอินเดียจะถูกนับรวมด้วยหรือไม่ และวิธีการคำนวณหาพื้นที่ทั้งหมดของสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างไร: ซึ่งหนังสือ The World Factbook โดยหน่วยสืบสวนราชการลับกลางสหรัฐอเมริกา ระบุว่า สหรัฐอเมริกมีพื้นที่ 9,826,676 (กิโลเมตร) ² กองสถิติแห่งสหประชาชาติ ระบุไว้ที่ 9,629,091 (กิโลเมตร) ² และ สารานุกรมบริตานิกา ระบุไว้ที่ 9,522,055 (กิโลเมตร) ² แต่ถ้าหากนับรวมเฉพาะพื้นที่บนบกแล้ว สหรัฐอเมริกาถือเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของโลก รองจากรัสเซียและจีน และอันดับที่ 4 คือ แคนาดา
สหรัฐอเมริกามีขนาดใหญ่ และความหลากหลายทางภูมิศาสตร์และภูมิอากาศ ทางตะวันออกของเส้นเมอร์ริเดียนที่ 100 ประเภทภูมิอากาศมีตั้งแต่อบอุ่นชื้นภาคพื้นทวีปทางตอนเหนือ ไปจนถึงอบอุ่นชื้นทางตอนใต้ ปลายด้านใต้สุดของรัฐฟลอริดามีลักษณะภูมิอากาศแบบเขตร้อน เช่นเดียวกับรัฐฮาวาย เกรดเพลน ทางตะวันตกของเส้นเมอร์รีเดียนที่ 100 มีลักษณะกึ่งแห้งแล้ง พื้นที่ภูเขาทางตะวันตกส่วนใหญ่มีภูมิอากาศแบบที่สูง แห้งแล้งในเกรตเบซิน ทะเลทรายในทางตะวันตกเฉียงใต้ ภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนตามฝั่งทะเลแคลิฟอร์เนีย และภูมิอากาศแบบมหาสมุทรในรัฐออริกอน รัฐวอชิงตันและรัฐอะแลสกาตอนใต้ พื้นที่ส่วนใหญ่ของรัฐอะแลสกามีภูมิอากาศแบบกึ่งขั้วโลกหรือขั้วโลก รัฐที่อยู่ติดกับอ่าวเม็กซิโกมักจะมีสภาพอากาศแบบสุดขั้ว โดยมีเฮอร์ริเคนเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และสหรัฐอเมริกายังเป็นประเทศซึ่งเกิดทอร์นาโดบ่อยครั้งที่สุดในโลก ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่ซึ่งได้ชื่อว่า ตรอกทอร์นาโด ในมิดเวสต์
ประวัติศาสตร์

เป็นที่เชื่อกันมากว่าชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกาในสหรัฐอเมริกาแผ่นดินใหญ่ รวมทั้งชนพื้นเมืองอะแลสกา เป็นผู้อพยพมาจากทวีปเอเชียเมื่อ 40,000-12,000 ปีที่แล้ว ชนพื้นเมืองบางกลุ่ม เช่น วัฒนธรรมมิสซิสซิปปีในสมัยก่อนโคลัมบัส ได้มีการพัฒนาเกษตรกรรมและสังคมในระดับรัฐ หลังจากที่ชาวยุโรปเริ่มการตั้งถิ่นฐานในทวีปอเมริกา ชนพื้นเมืองเองหลายล้านคนเสียชีวิตจากโรคระบาดซึ่งติดจากชาวยุโรป เช่น ฝีดาษ
ในปี ค.ศ. 1492 นักสำรวจชาวเจนัว คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ภายใต้สัญญากับกษัตริย์สเปน ได้เดินทางถึงหมู่เกาะแคริบเบียน และได้ติดต่อกับชนพื้นเมืองเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 1513 กองกีสตาดอร์ชาวสเปน ควน ปอนเซ เด เลออง ได้ขึ้นฝั่งในบริเวณซึ่งเขาเรียกว่า "ลา ฟลอริดา" – นับเป็นการขึ้นฝั่งบริเวณที่เป็นสหรัฐอเมริกาแผ่นดินใหญ่ในปัจจุบันของชาวยุโรปเป็นครั้งแรกซึ่งได้รับการบันทึกไว้ ก่อนจะมีการตั้งถิ่นฐานสเปนในพื้นที่ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกาไปจนถึงเม็กซิโก พ่อค้าขนสัตว์ชาวฝรั่งเศสได้ก่อตั้งด่านหน้าของนิวฟรานซ์ขึ้นรอบเกรตเลกส์ ก่อนที่ฝรั่งเศสจะอ้างสิทธิ์เหนือพื้นที่ส่วนใหญ่ของทวีปอเมริกาเหนือไปจนถึงอ่าวเม็กซิโกในที่สุด การตั้งถิ่นฐานของชาวอังกฤษแห่งแรก คือ อาณานิคมเวอร์จิเนีย ในเจมส์ทาวน์ ในปี ค.ศ. 1607 และอาณานิคมพลิมัธของพวกพิลกริม ในปี ค.ศ. 1620 และในปี ค.ศ. 1628 สัญญาเช่าอาณานิคมอ่าวแมสซาชูเซตส์ ทำให้มีผู้อพยพเข้ามาเป็นจำนวนมาก; ในปี ค.ศ. 1634 นิวอิงแลนด์มีกลุ่มเพียวริตันอาศัยอยู่ 10,000 คน ระหว่างปลายคริสต์ทศวรรษ 1610 จนถึงการปฏิวัติอเมริกา มีนักโทษราว 50,000 คนถูกส่งตัวมายังอาณานิคมอังกฤษในทวีปอเมริกา นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1614 ชาวดัตช์ได้ตั้งถิ่นฐานตามแนวแม่น้ำฮัดสัน รวมทั้งนิวอัมสเตอร์ดัมบนเกาะแมนฮัตตัน
ในปี ค.ศ. 1674 อาณานิคมชาวดัตช์ได้ถูกผนวกรวมกับอังกฤษ จังหวัดนิวเนเธอร์แลนด์ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นนิวยอร์ก ผู้อพยพใหม่อีกจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางตอนใต้ เป็นคนรับใช้ซึ่งถูกผูกมัดด้วยสัญญา – คิดเป็นผู้อพยพสู่เวอร์จิเนียจำนวนกว่าสองในสามระหว่างปี ค.ศ. 1630-1680 และปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 ทาสชาวแอฟริกันได้กลายมาเป็นแหล่งหลักสำหรับแรงงานที่ถูกผูกมัด และในปี ค.ศ. 1729 หลังจากการแบ่งแคลิฟอร์เนียและการตั้งอาณานิคมในจอร์เจีย ในปี ค.ศ. 1732 อาณานิคมอังกฤษสิบสามแห่ง ซึ่งจะกลายมาเป็นสหรัฐอเมริกาในภายหลัง ได้ถูกจัดตั้งขึ้น แต่ละรัฐมีรัฐบาลท้องถื่นซึ่งเปิดให้มีการเลือกตั้งแก่ชายผู้เป็นเสรีชนส่วนใหญ่ ด้วยการเพิ่มขึ้นของสิทธิโบราณของชาวอังกฤษและความสำนึกในการปกครองตนเองกระตุ้นการสนับสนุนสำหรับกลุ่มสาธารณรัฐนิยม ซึ่งทั้งหมดได้ทำให้การค้าทาสแอฟริกันถูกต้องตามกฎหมาย และด้วยอัตราการเกิดสูง อัตราการตายต่ำ และอัตราการอพยพคงที่ ทำให้ประชากรในอาณานิคมเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ขบวนการฟื้นฟูคริสเตียนในราวคริสต์ทศวรรษ 1730 และ 1740 เป็นที่รู้จักกันว่า การตื่นตัวครั้งใหญ่ ซึ่งทำให้เกิดความสนใจในเสรีภาพทางศาสนาและลัทธิ ในสงครามฝรั่งเศสและอินเดียน กองทัพอังกฤษยึดแคนาดามาจากฝรั่งเศส แต่ประชากรผู้พูดภาษาฝรั่งเศสยังคงถูกโดดเดี่ยวทางการเมืองจากอาณานิคมทางใต้ หากไม่นับกลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกันผลัดถิ่น ในอาณานิคมทั้งสิบสามของอังกฤษมีจำนวนประชากรถึง 2.6 ล้านคนในปี ค.ศ. 1770 เป็นชาวอังกฤษจำนวนหนึ่งในสาม และหนึ่งในห้าเป็นทาสผิวดำ แต่ถึงแม้ว่าจะถูกบังคับให้จ่ายภาษีแก่อังกฤษ อาณานิคมอเมริกันกลับไม่มีผู้แทนในรัฐสภาบริเตนใหญ่เลย
ดอกไม้ประจำชาติ

ดอกกุหลาบ เป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกไว้ชื่นชมมาแต่โบราณ ประมาณกันว่ากุหลาบเกิดขึ้นเมื่อกว่า 70 ล้านปีมาแล้ว เคยมีการค้นพบฟอสซิลของกุหลาบใน รัฐโคโลราโด และ รัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา ดอกกุหลาบเป็นดอกไม้ประจำชาติและสัญลักษณ์อย่างเป็นทางการของสหรัฐอเมริกาในปี 1986 กุหลาบมีอายุประมาณประมาณ 35 ล้านปี และเติบโตตามธรรมชาติทั่วทวีปอเมริกาเหนือ กลีบดอกกุหลาบสามารถใช้กินและมีการใช้ในยารักษาโรคได้ตั้งแต่สมัยโบราณ
การเมืองการปกครอง

รัฐบาลและการเลือกตั้ง มีรูปแบบการปกครองแบบสหพันธรัฐ (Federal Republic) แบ่งอำนาจออกเป็น 3 ฝ่าย ภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ แต่ละฝ่ายได้รับเลือกในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป จึงมีการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน (checks and balances) ประกอบด้วยพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค คือ พรรครีพับลิกัน (Republican) และพรรคเดโมแครต (Democrat) ดังนี้
-ฝ่ายบริหาร
มีประธานาธิบดี (President) เป็นประมุขและเป็นหัวหน้ารัฐบาล (Chief of Executive) ได้รับเลือกจากการเลือกตั้งทั่วไป ร่วมกับรองประธานาธิบดีทุก 4 ปี ในวันอังคารแรกหลังวันจันทร์แรกของเดือนพฤศจิกายน ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งผ่านคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) จำนวน 538 คน ดำรงตำแหน่งไม่เกิน 2 สมัย สมัยละ 4 ปี ประธานาธิบดีจะเป็นผู้ร่างรัฐบัญญัติต่อรัฐสภา และทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้ทำสนธิสัญญาต่าง ๆ ตลอดจนแต่งตั้งผู้พิพากษาเอกอัครราชทูตและตำแหน่งต่าง ๆ ของฝ่ายบริหารตั้งแต่ระดับรองผู้ช่วยรัฐมนตรี (Deputy Assistant Secretary) ขึ้นไป
-ฝ่ายนิติบัญญัติ
ประกอบด้วย 2 สภา คือ
วุฒิสภา มีสมาชิกจากแต่ละรัฐ รัฐละ 2 คน รวมเป็น 100 คน ดำรงตำแหน่งสมัยละ 6 ปี โดยสมาชิกจำนวน 1 ใน 3 ครบวาระทุก 2 ปี วุฒิสภามีอำนาจให้ความเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบต่อบุคคลที่ประธานาธิบดีเสนอขอแต่งตั้ง รวมทั้งคณะรัฐมนตรี และให้สัตยาบันสนธิสัญญา รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภาโดยตำแหน่ง (President of the Senate)
สภาผู้แทนราษฎร มีสมาชิก 435 คน แบ่งตามสัดส่วนของประชากรในรัฐ คือ ประชากร 575,000 คน ต่อ สมาชิก 1 คน ดำรงตำแหน่งสมัยละ 2 ปี ประธานสภา (Speaker of the House) มีเอี่ยม
-ฝ่ายตุลาการ
ประกอบด้วย ศาลชั้นต้น (Curcuit Court) ศาลอุทธรณ์ (Appeal Court) และศาลฎีกา (Supreme Court) ศาลฎีกามีอำนาจที่จะล้มเลิกกฎหมายใด ๆ และการปฏิบัติการของฝ่ายบริหารที่ได้วินิจฉัยแล้วว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ในการแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลฎีกานั้น ประธานาธิบดีเป็นผู้เสนอชื่อและวุฒิสภาเป็นผู้ให้การรับรอง โดยศาลสูงของสหพันธ์มีผู้พิพากษาทั้งหมด 9 คน ซึ่งตำรงตำแหน่งได้โดยไม่มีการกำหนดวาระ
สิทธิในการเลือกตั้ง : อายุ 18 ปีขึ้นไป
-ฝ่ายบริหาร
มีประธานาธิบดี (President) เป็นประมุขและเป็นหัวหน้ารัฐบาล (Chief of Executive) ได้รับเลือกจากการเลือกตั้งทั่วไป ร่วมกับรองประธานาธิบดีทุก 4 ปี ในวันอังคารแรกหลังวันจันทร์แรกของเดือนพฤศจิกายน ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งผ่านคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) จำนวน 538 คน ดำรงตำแหน่งไม่เกิน 2 สมัย สมัยละ 4 ปี ประธานาธิบดีจะเป็นผู้ร่างรัฐบัญญัติต่อรัฐสภา และทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้ทำสนธิสัญญาต่าง ๆ ตลอดจนแต่งตั้งผู้พิพากษาเอกอัครราชทูตและตำแหน่งต่าง ๆ ของฝ่ายบริหารตั้งแต่ระดับรองผู้ช่วยรัฐมนตรี (Deputy Assistant Secretary) ขึ้นไป
-ฝ่ายนิติบัญญัติ
ประกอบด้วย 2 สภา คือ
วุฒิสภา มีสมาชิกจากแต่ละรัฐ รัฐละ 2 คน รวมเป็น 100 คน ดำรงตำแหน่งสมัยละ 6 ปี โดยสมาชิกจำนวน 1 ใน 3 ครบวาระทุก 2 ปี วุฒิสภามีอำนาจให้ความเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบต่อบุคคลที่ประธานาธิบดีเสนอขอแต่งตั้ง รวมทั้งคณะรัฐมนตรี และให้สัตยาบันสนธิสัญญา รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภาโดยตำแหน่ง (President of the Senate)
สภาผู้แทนราษฎร มีสมาชิก 435 คน แบ่งตามสัดส่วนของประชากรในรัฐ คือ ประชากร 575,000 คน ต่อ สมาชิก 1 คน ดำรงตำแหน่งสมัยละ 2 ปี ประธานสภา (Speaker of the House) มีเอี่ยม
-ฝ่ายตุลาการ
ประกอบด้วย ศาลชั้นต้น (Curcuit Court) ศาลอุทธรณ์ (Appeal Court) และศาลฎีกา (Supreme Court) ศาลฎีกามีอำนาจที่จะล้มเลิกกฎหมายใด ๆ และการปฏิบัติการของฝ่ายบริหารที่ได้วินิจฉัยแล้วว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ในการแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลฎีกานั้น ประธานาธิบดีเป็นผู้เสนอชื่อและวุฒิสภาเป็นผู้ให้การรับรอง โดยศาลสูงของสหพันธ์มีผู้พิพากษาทั้งหมด 9 คน ซึ่งตำรงตำแหน่งได้โดยไม่มีการกำหนดวาระ
สิทธิในการเลือกตั้ง : อายุ 18 ปีขึ้นไป
ประชากร

ปัจจุบันสหรัฐอเมริกามีประชากรประมาณ 273 ล้านคน ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากชนชาติต่างๆ ทั่วโลก จนทำให้สหรัฐอเมริกาได้ชื่อว่า “Melting Pot” ซึ่งหมายถึง การเป็นศูนย์รวมของแหล่งวัฒนธรรมที่มีความหลากหลายและหลอมละลายกลายเป็นอเมริกา ประชากรดั้งเดิมของสหรัฐอเมริกา คือ ชาวอินเดียนแดง ส่วนชนกลุ่มแรกที่อพยพเข้ามาสหรัฐอเมริกา คือ ชาวอังกฤษ และชาวเนเธอร์แลนด์ แคลิฟอร์เนีย เป็นรัฐที่มีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นที่สุด รองลงมา คือ นิวยอร์ค ส่วนรัฐฮาวาย เป็นรัฐที่ชาวญี่ปุ่นได้อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานมากกว่ารัฐอื่นๆ
เชื้อชาติ ตามข้อมูลของ CIA World Fact ปี พ.ศ. 2548 ประชากรของสหรัฐอเมริกาประกอบด้วย
-คนผิวขาวรวมถึง คนเม็กซิกัน 81.7% หรือ 241 ล้านคน
-คนผิวดำหรือ แอฟริกันอเมริกัน 12.9% หรือ 36.4 ล้านคน
-คนอเมริกันเอเชีย4.2% หรือ 11.9 ล้านคน
-ชาวอินเดียนแดง1.4% หรือ 4.1 ล้านคน -ชาวฮาวาย0.2%
เชื้อชาติ ตามข้อมูลของ CIA World Fact ปี พ.ศ. 2548 ประชากรของสหรัฐอเมริกาประกอบด้วย
-คนผิวขาวรวมถึง คนเม็กซิกัน 81.7% หรือ 241 ล้านคน
-คนผิวดำหรือ แอฟริกันอเมริกัน 12.9% หรือ 36.4 ล้านคน
-คนอเมริกันเอเชีย4.2% หรือ 11.9 ล้านคน
-ชาวอินเดียนแดง1.4% หรือ 4.1 ล้านคน -ชาวฮาวาย0.2%
ภาษา
ภาษาอังกฤษ (อเมริกันอังกฤษ) เป็นภาษาประจำชาติโดยพฤตินัย แม้จะไม่มีภาษาราชการในระดับรัฐบาลกลาง, บางกฎหมาย เช่น ข้อกำหนดการเป็นกลางของสหรัฐฯ มาตรฐานเป็นภาษาอังกฤษ ในปี 2010 ประมาณ 230 ล้านคนหรือ 80% ของประชากรที่มีอายุห้าปีและมากกว่า พูดภาษาอังกฤษเท่านั้นที่บ้าน ภาษาสเปน, พูดโดย 12% ของประชากรที่บ้าน, เป็นภาษาที่พบมากที่สุดเป็นที่สองและเป็นภาษาที่สองที่สอนกันอย่างแพร่หลาย ชาวอเมริกันบางคน สนับสนุนการทำภาษาอังกฤษให้เป็นภาษาทางการของประเทศ เช่นมันเป็นในอย่างน้อย 28 รัฐ
ทั้งภาษาฮาวายและภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่เป็นทางการในฮาวายตามกฎหมายของรัฐ.[96] ในขณะที่ ไม่มีภาษาราชการ, นิวเม็กซิโกมีกฎหมายให้ใช้ ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาสเปน ในขณะที่ หลุยเซียนาจะใช้ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส รัฐอื่นๆ เช่นแคลิฟอร์เนีย, ให้อำนาจเอกสารสิ่งพิมพ์เป็นเวอร์ชันสเปนของเอกสารรัฐบาลบางอย่าง รวมทั้งแบบฟอร์มศาล เขตอำนาจศาลหลายแห่งที่มีผู้พูดที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษจำนวนมาก ผลิตเอกสารของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลงคะแนนเสียง จะอยู่ในภาษาพูดที่ใช้มากที่สุดใน เขตอำนาจศาลนั้น .
ดินแดนโดดเดี่ยวหลายแห่งให้การยอมรับอย่างเป็นทางการกับภาษาพื้นเมืองของพวกเขา พร้อม กับภาษาอังกฤษ: ซามัวและชามอร์โรเป็นที่ยอมรับจากอเมริกันซามัวและกวมตามลำดับ Carolinian และ ชามอร์โร เป็นที่ยอมรับจากหมู่เกาะมาเรียนาเหนือ; ภาษาสเปนเป็นภาษาราชการของเปอร์โตริโกและยังเป็นภาษาพูดอย่างกว้างขวางมากขึ้นนอกเหนือจากภาษาอังกฤษ ที่นั่น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น