แหล่งท่องเที่ยวโครเอเชีย
Hvar Island เกาะฮวาร์


“เกาะฮวาร์” (Hvar Island) อีกหนึ่งเกาะท่องเที่ยวแนะนำให้ไปเยือน โดยเกาะนั้นตั้งอยู่ในทะเลเอเดรียติก (Adriatic Sea) ในเขตเทศมณฑลสปลิต-ดัลเมเชีย (Split-Dalmatia) ของภูมิภาคดัลเมเชีย (Dalmatia)
เกาะฮวาร์ เป็นเกาะที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นราชินีแห่งเกาะของโครเอเชีย เกาะฮวาร์เป็นเกาะที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่สัมัยโบราณ เนื่องจากตำแหน่งที่ตั้งของเกาะนั้นมีความยอด เยี่ยมทางเชิงกลยุทธ์และทางทะเลที่สำคัญแห่งหนึ่งของทวีปยุโรป
ถ้ำเรืองแสงสีน้ำเงิน A Glowing Blue Cave in Croatia


ถ้ำที่มีพื้นน้ำเงินเข้มจัด แต่สภาพโดยรอบมืดมิด ทำให้ถ้ำแห่งนี้แปลกจนดูน่าเกรงขาม สีของน้ำที่ดูสะพรึงชวนตะลึง น้ำสีน้ำเงินเข้มนี้เราสามารถลงไปเล่นได้เหมือนน้ำทั่วๆไป ไม่มีอะไรอันตราย
ถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำขนาดไม่ใหญ่มากอยู่บนเกาะ Bisevo เป็นเกาะกลางๆ ในกลุ่มหมู่เกาะดัลเมเชีย เขตประเทศโครเอเชีย ประเทศซึ่งมีที่ดินติดฝั่งทะเลยาวถึง 5,000 กิโลเมตรและมีเกาะเป็นสมบัติของชาตินับพันเกาะ เยอะจนล้นเหลือนับไม่ถ้วน
บนเกาะ Bisevo ไม่มีคนอาศัยอยู่ค่ะส่วนใหญ่จะเป็นพืชพรรณต่างๆ ในลุ่มน้ำเมดิเตอร์เรเนี่ยน มีกลุ่มโขดหินและถ้ำจำนวนมาก แต่ถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำที่มีความโดดเด่นเรื่องแสงสีที่มาตกกระทบจนทำให้น้ำในถ้ำกลายเป็นสีน้ำเงินอย่างที่เห็นเรียกขานชื่อตามกายภาพของถ้ำว่า “ถ้ำสีน้ำเงิน”
หากจะเข้าไปในถ้ำก็ต้องรอจังหวะเวลาที่น้ำลดลงจนสามารถเห็นช่องปากถ้ำ และวิธีที่จะเข้าไปคือว่ายน้ำ ดำน้ำหรือไม่ก็เรือพายขนาดเล็ก เวลาที่เปิดเป็นช่วงประมาณ 11.00 – 12.00 หรือช่วงเที่ยงในแต่ละวัน ถ้ำแห่งนี้เกิดจากการที่คลืนกัดเซาะเขาหินปูนเข้าไปจนเป็นโพรงถ้ำ ขนาดภายในไม่ได้ใหญ่มาก กว้างยาวประมาณ 24 X 10-12 เมตร แต่มีความลึกมากพอควรถึง 15 เมตร ส่วนของปากถ้ำก็เล็กสูง 1.5 เมตรกว้างเพียง 2.5 เมตรเท่านั้น
กำแพงเก่า Dubrovnik city walls


เส้นทางประวัติศาสตร์เปี่ยมความขลัง ดึงดูดให้นักเดินทางหลายคนตั้งใจมาเยี่ยมเยือน เมืองเก่า Dubrovnik เริ่มต้นเดินทางที่กำแพงโบราณและป้อมปราการที่ตระหง่านอยู่ ด้วยการเดินลัดเลาะชมริมทะเลเอเดรียติกสีครามเข้มผืนฟ้ากว้าง สูดอากาศแสนสดชื่น ที่พัดโชยมา
นอกจากการเพลิดเพลินกับวิวแสนสวยแล้ว ยังมีร้านกาแฟให้นั่งจิบชมวิวปล่อยใจล่องลอย สูดกลิ่น หอมของกาแฟกับกลิ่นอายทะเลกลางอุ่นไอแดดบนกำแพงได้ด้วยอีกหนึ่งวิธีการชมกำแพงเมือง แบบสบายๆ ไม่ต้องป่ายต้องปีนให้เมื่อย แค่ไปที่ท่าเรือ และเจรจาถามราคา บรรดาเรือจะพาล่องเลียบไปตามกำแพงเมือง และเกาะ Lokrum เกาะเพื่อนบ้าน ของ Dubrovnik บางเจ้าก็จะพาไปขึ้นฝั่งที่ Cavtat เมืองเล็กที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งมีสิ่งที่น่าสนใจในเมือง คือบรรดาร้านอาหารริมทะเลทั้งหลายทั้งวิวดีและอาหารอร่อย
เดินเลาะรอบกำแพงเมืองจนครบรอบ ก็มาตั้งต้นกันที่ Stradun ถือเป็นถนนเส้นหลักของเมือง เชื่อมประตูทางฝั่งตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกัน สิ่งที่โดดเด่นเป็นสัญลักษณ์ประจำ Stradun คือหอนาฬิกา Sponza Palace ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในอาคารที่สวยที่สุดในเมือง สภาพที่เห็นเป็นของเก่าดั้งเดิมแท้ๆ สัญลักษณ์อีกประการคือบ่อน้ำพุ Great Onofrio’s Fountain และ Onofrio’s small fountain ปัจจุบันนี้บริเวณฐานรอบของน้ำพุใช้ประโยชน์ให้กับนักท่องเที่ยว ทั้งหลายได้นั่งพักและชมวิว
นอกจากนี้ภายในตัวเมืองยังมีพิพิธภัณฑ์รวมถึงโบสถ์ที่สวยงามควรค่าแก่การเข้าไปเยี่ยมชมอีกหลายแห่ง วิธีที่ดีที่สุดคือละเลียดเลาะเข้าตรอกซอกซอยเล็กต่างๆ ไปเรื่อยๆ ยิ่งเดินก็ยิ่งน่าสนใจ เพราะจิตวิญญาณของ Dubrovnik นั้นแทรกซึมอยู่ในทุกอณูของหินทุกก้อนทั้งบนผนังและพื้นที่เหยียบย่ำกันอยู่
เมืองดูบรอฟนิก


ด้วยภูมิประเทศที่เรียบเลาะไปกับชายทะเล ขณะที่ส่วนที่เป็นแผ่นดินก็เป็นเนินเขาสูงต่ำสลับกันไปรวมถึงอาคารบ้านเรือนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งหลายต่างก็ต้องมนต์สะกดของเมืองดูบรอฟนิก (Dubrovnik) ที่สำคัญยังทำให้เมืองงามแห่งนี้ ครองฉายาว่าเป็น “ไข่มุกแห่ทะเลอะเดรียติก” เมืองดูบรอฟนิกตั้งอยู่ทางตอนใต้ของโครเอเชีย ชื่อเสียงที่เลื่องลือที่สุดของเมืองนี้ก็ต้องยกให้เรื่องการทำฟาร์มเลี้ยงหอยนางรม หอยแมลงภู่ ริมทะเลอะเดรียติก ดังนั้น เมื่อมาเยือนดูบรอฟนิกหากไม่ได้ลิ้มลองรสชาติอันโชะของหอยนางรมและหอยแมลงภู่ตัวโตๆ แกล้มไวน์ขาวรสเยี่ยมแล้วละก็บอกได้คำเดียวว่าน่าเสียดายอย่างยิ่ง
ในขณะที่ย่านเมืองเก่าของดูบรอฟนิกก็น่าไปเยี่ยมชมไม่น้อย เขตเมืองเก่าแห่งนี้มีสิ่งก่อสร้างที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกหลายสถานที่ไม่ว่าจะเป็น บ่อน้ำพุประจำเมือง (Onofrio Fountain) ซึ่งเป็นบ่อน้ำพุที่ใช้หล่อเลี้ยงผู้คนในยามศึกสงครามเรื่อยมา จนถึงหอนาฬิกากลางเมืองที่ตั้งอยู่ ณ ส่วนปลายสุดของถนนสายหลัก ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1444 ความพิเศษของนาฬิกาเรือนนี้ก็คือลูกกลม ๆ ใต้หน้าปัดซึ่งแทนพระจันทร์ใช้บอกเวลาข้างขึ้นข้างแรมในทางจันทรคติ เล่ากันว่าภายในย่านเมืองเก่าแห่งนี้ถือเป็นเขตชุมชนแรกที่บรรพบุรุษชาวดูบรอฟนิกมาสร้างบ้านเมืองในศตวรรษที่ 7
Brac Island เกาะบราช


เป็นเกาะที่มีชื่อเสียงที่สุดอีกเกาะของโครเอเชีย มีความยาว 48 กิโลเมตร กว้าง 14 กิโลเมตร ทำให้บราชเป็นเกาะขนาดใหญที่สุดในเขต Central Dalmatia ของโครเอเชีย มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 18,324 คน มียอดเขา Vitus ที่มีความสูงถึง 778 เมตร ทำให้ยอดเขาแห่งนี้ เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของเกาะทั้งหมดของประเทศ อีกทั้งบนเกาะยังมีหิน Limestone ที่มีคุณภาพดีที่สุด โดยนำไปก่อสร้างทำเนียบขาว ที่สหัฐอเมริกา และรัฐสภาที่บูดาเปสท์ เป็นต้น
ลักษณะพื้นที่แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ
ทะเลสาบตอนบน ( The Upper Lakes ) จะอยู่ในบริเวณหุบเขาสูงทางตอนใต้ของเขตอุทยานซึ่งจะประกอบไปด้วยทะเสสาบขนาดต่างๆเรียงรายลดหลั่นกันลงมาตามระดับความสูงของภูมิประเทศ ที่อยู่สูงสุดได้แก่ทะเลสาบ Prosce หรือ Proscansko อยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเล 636.6 เมตร มีความยาว 2 กิโลเมตร ลึกมากที่สุด 37.4 เมตร ทะเลสาบ kosjak เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในอุทยานแห่งนี้มีความยาวถึง 3 กิโลเมตร กว้าง 135 เมตร มีเกาะ รูปไข่อยู่ตรงกลาง มีชื่อว่า Stefanija Island ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าหญิงแห่งออสเตรีย เมื่อครั้งเสด็จประพาสอุทยานนี้ในปี ค.ศ 1888
ทะเลสาบตอนบน ( The Upper Lakes ) จะอยู่ในบริเวณหุบเขาสูงทางตอนใต้ของเขตอุทยานซึ่งจะประกอบไปด้วยทะเสสาบขนาดต่างๆเรียงรายลดหลั่นกันลงมาตามระดับความสูงของภูมิประเทศ ที่อยู่สูงสุดได้แก่ทะเลสาบ Prosce หรือ Proscansko อยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเล 636.6 เมตร มีความยาว 2 กิโลเมตร ลึกมากที่สุด 37.4 เมตร ทะเลสาบ kosjak เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในอุทยานแห่งนี้มีความยาวถึง 3 กิโลเมตร กว้าง 135 เมตร มีเกาะ รูปไข่อยู่ตรงกลาง มีชื่อว่า Stefanija Island ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าหญิงแห่งออสเตรีย เมื่อครั้งเสด็จประพาสอุทยานนี้ในปี ค.ศ 1888
ทะเลสาบตอนล่าง ( The Lower Lakes ) บริเวณปลายสุดของทะเลสาบโคสแจ็ก ( Kosjak) จะมีเขื่อนกั้นน้ำแยกทะเลสาบตอนบนและตอนล่างออกจากกัน น้ำทะเลสาบโคสแจ็กจะไหลผ่านเขื่อนไหลลงสู่หุบเขาเบื้องล่างที่ลดระดับต่ำลงไป ณ ทะเลสาบแห่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของทะเลสาบตอนล่าง มีชื่อว่า Lake Milanovac ซึ่งมีพื้นที่ขนาด 500 เมตร x 90 เมตร ต่ำกว่าทะเลสาบโคสแจ็ก ลงมา 11 เมตร มีความลึก 18.4 เมตร แต่สีน้ำในทะเลสาบด้านล่างนี้จะมีสีแตกต่างจากทะเลสาบตอนบนอย่างชัดเจน น้ำที่นี่จะมีสีเขียวอมฟ้า ทะเลสาบด้านล่างจะมีหุบเขาและมีถ้ำหินปูนเป็นจำนวนมากถึง 20 ถ้ำ
เมืองโทรเกียร์ (Trogir)


ประวัติคร่าวๆของเมืองนี้ต้องขอย้อนอดีตไปเมื่อ 2300 ปีก่อน โทรเกียร์ถูกสร้างขึ้นในสมัยอณาจักรกรีกโบราณ ล่วงเลยมาจนถึงช่วงศตวรรษที่ 1 โรมันได้เข้ามาปกครองดินแดนแห่งนี้แทน จวบจนกระทั่งศตวรรษที่ 13 เมืองโทรเกียร์แห่งนี้ ได้ตกเป็นของอาณาจักรเวเนเชี่ยน
ด้วยเอกลักษณ์ของอาคารบ้านเรือนที่ถูกสร้างด้วยอิฐเก่าตามแบบฉบับโรมัน-กรีก แผ่นหินก้อนเล็กๆที่ปูบนทางเดิน สร้างเอกลักษณ์ให้กับเมืองโทรเกียร์ได้อย่างชัดเจน และในปี ค.ศ. 1997 โทรเกียร์ได้ถูกขึ้นให้เป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่ควรแค่แก่การอนุรักษ์จากยูเนสโก้
ด้วยเอกลักษณ์ของอาคารบ้านเรือนที่ถูกสร้างด้วยอิฐเก่าตามแบบฉบับโรมัน-กรีก แผ่นหินก้อนเล็กๆที่ปูบนทางเดิน สร้างเอกลักษณ์ให้กับเมืองโทรเกียร์ได้อย่างชัดเจน และในปี ค.ศ. 1997 โทรเกียร์ได้ถูกขึ้นให้เป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่ควรแค่แก่การอนุรักษ์จากยูเนสโก้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น